ควรมีชุดแต่งงานกี่ชุดในวันแต่งงาน

• ถ้าเป็นพิธีไทย: อาจเลือกใช้ชุดไทยจักรพรรดิ จักรี หรือไทยศิวาลัย
• ถ้าเป็นพิธีคริสต์หรือพิธีในโบสถ์: มักใช้เดรสยาวสีขาวคลาสสิกที่มีเวลายาว
• ถ้าเป็นพิธีจีน: เจ้าสาวบางคนใส่กี่เพ้าแดงหรูหรา เพื่อแสดงถึงความสิริมงคล

2. ชุดสำหรับงานเลี้ยงช่วงกลางวันหรือเย็น (Reception Dress)
เมื่อพิธีการผ่านไปแล้ว เจ้าสาวหลายคนเลือกเปลี่ยนชุดเพื่อให้สะดวกขึ้นในการรับแขก เดินทักทาย หรือร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เปิดฟลอร์เต้นรำ หรือโยนช่อดอกไม้ ชุดนี้จะเน้นความคล่องตัว แต่ยังคงความหรูหรา บางคนเลือกเดรสทรง A-Line หางปลาสวย ๆ หรือเดรสผ้าลูกไม้เบา ๆ ถ้าธีมงานมีความสนุกหรือสีสัน อาจเปลี่ยนมาเป็นชุดที่แตกต่างจากชุดพิธีโดยสิ้นเชิง

3. ชุดสำหรับ After Party หรืองานตอนกลางคืน (Evening / After-Party Dress)
ถ้างานแต่งงานมีช่วง After Party ที่เน้นความสนุกสนาน เช่น มีการเต้นรำ ดนตรีสด หรือปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ เจ้าสาวสามารถเลือกชุดที่เปรี้ยวขึ้น สนุกขึ้น หรือเซ็กซี่เล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนลุคในตอนท้าย

• เดรสสั้นทันสมัย
• จั๊มสูทเก๋ ๆ
• หรือแม้แต่ลุคเจ้าสาวสายแฟ ที่ใส่ชุดแบบมีลูกเล่น

4. ชุดแบบพิเศษตามธีมหรือวัฒนธรรม (Theme or Cultural Dress)
บางคู่จัดงานที่มีธีมเฉพาะ เช่น งานสไตล์วินเทจ งานย้อนยุค งานสไตล์แฟนตาซี หรือแม้แต่งานแต่งริมทะเล เจ้าสาวบางคนเตรียมชุดเพิ่มเติมเพื่อเข้ากับธีมของแต่ละช่วงเวลา หรือแสดงออกถึงวัฒนธรรมเฉพาะตัว เช่น ชุดพื้นเมืองของเจ้าสาวในพิธีแต่งงานล้านนา หรือชุดเดรสลูกไม้ฟุ้ง ๆ สไตล์เจ้าหญิงดิสนีย์ สำหรับงานธีมเทพนิยาย

5. ชุดสำหรับพิธีรดน้ำสังข์หรือพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์
หากมีพิธีแบบไทย เช่น พิธีสงฆ์ หรือพิธีรดน้ำสังข์ในช่วงเช้า เจ้าสาวมักเตรียมชุดไทยหรือชุดสุภาพเรียบหรูสำหรับช่วงนี้โดยเฉพาะ

• ชุดไทยแบบเรียบหรู ไม่ฟูฟ่องมาก
• ผ้าซิ่นไทยหรือผ้าไหมที่ดูเป็นทางการ แต่คล่องตัว
  

เจ้าสาวส่วนใหญ่มี 2-3 ชุด แต่บางคนอาจมีถึง 4-5 ชุด ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรูปแบบของงานและกิจกรรมในแต่ละช่วง หลักการง่าย ๆ คือ...

• 1 ชุด สำหรับพิธีหลัก
• 1 ชุด สำหรับงานเลี้ยง
• และ 1 ชุด สำหรับ After Party (ถ้ามี)